เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๓๑ พ.ค. ๒๕๕๒

 

เทศน์เช้า วันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๕๒
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ออกไปเมื่อวานนี่ไปดูนะ โอ้โฮ.. ได้คติธรรมมาเยอะมาก มนุษย์คนหนึ่งทำศักยภาพได้แค่นั้นนะ คนโอ้โฮ.. มืดฟ้ามัวดินเลย แล้วปีหน้าจะมากไปเรื่อยๆ จะมากไปเรื่อยๆ นี่ทำดี แต่เวลาว่าทำดีมันก็ดีนะ แต่ถ้าให้เราเป็นครูบาอาจารย์ ถ้าเราเป็นท่านนะ ท่านจะแบบว่าโดนแรงเสียดสี โดนทุกๆ อย่างนะ แล้วเมื่อวันที่ ๒๖ ท่านเพิ่งพูด

“พระผู้ใหญ่ของเราพูดไม่อยู่กับร่องกับรอย แทงเราข้างหลัง”

แทงเราข้างหลัง! ดูสิท่านรับรู้อะไรทั้งหมดไงว่าใครทำดี ใครทำไม่ดี เมื่อวันที่ ๒๖ ท่านก็พูดอยู่ แต่ท่านก็หน้ายิ้มแย้มแจ่มใส พร้อมที่จะรับทุกๆ อย่าง เพราะอะไรล่ะ? เพราะใจของท่านเป็นธรรม เห็นไหม ถ้าใจมันเป็นธรรม เหตุการณ์บางอย่างเราแก้ไขได้ เราเป็นพ่อแม่ เราเป็นอาจารย์เขาเราต้องแก้ไข แต่เหตุบางอย่างมันแก้ไขไม่ได้ มันเป็นเรื่องสุดวิสัย มันแก้ไขไม่ได้เพราะอะไร? เพราะว่ามันเป็นอย่างนั้นเอง

ถ้าพูดถึงแก้ไขได้ ท่านต้องแก้ไขแล้ว แต่บางอย่างมันแก้ไขไม่ได้ แต่พวกเราไม่เข้าใจ บอกว่าทุกอย่างต้องแก้ไขได้ ทุกอย่างต้องแก้ไขได้ เราจะแก้ไขเลย ใช่ ทางวิทยาศาสตร์ทุกอย่างแก้ไขได้ ทางวิทยาศาสตร์ทุกอย่างแก้ไขได้ด้วยเหตุด้วยผล แต่มันมีเหตุมีปัจจัย แล้วเรื่องความรู้สึกของคน เรื่องกิเลสมันร้ายนัก แล้วคนที่ประพฤติปฏิบัติขึ้นมาจะรู้จักกิเลสนะ เราจะต่อสู้ เห็นไหม ดูสิการชนะใครก็แล้วแต่ ดูวิทยาศาสตร์นะ ดูการก่อสร้างนะ ดูสิปฏิกรณ์นิวเคลียร์ เตาปฏิกรณ์ เขาทำนี่มหัศจรรย์มากนะ เพราะมันต้องละเอียดอ่อนมาก เพราะไม่ให้พวกกัมมันตภาพรังสีมันออกได้เลย เขาทำขนาดนั้นนะ ถึงเวลาแล้วมันก็ยังมีการแตก มีการบุบสลาย นี้เป็นเรื่องของโลกไง

เราจะบอกว่าโลกเจริญๆ คือเราจะให้โลกเจริญ เราพยายามดูแลกันให้โลกเจริญ มันเป็นวิทยาศาสตร์ๆ วิทยาศาสตร์มันทำอะไรได้? วิทยาศาสตร์มันแค่ปัจจัยเครื่องอาศัยนะ แต่ถ้าเอาชนะใจเราได้ เอาชนะใจเราได้นี่ความสุขความทุกข์มันอยู่ที่ใจ ถ้าความสุขความทุกข์มันอยู่ที่ใจ บุคคลคนหนึ่งทำศักยภาพได้แค่นั้น นั่นเราดูถึงประเพณีวัฒนธรรมนะ แต่ดูสิ ดูธรรมในหัวใจของท่านสิ..

เรากลับมาดูทีวีไง นี่ท่านนั่งด้วยความเพลียมาก แต่ใครพูดอะไรนี่รับรู้นะ แล้วสายตาท่านมอง เห็นไหม เวลาหลวงตาท่านพูด ท่านออกมาช่วยโลก ท่านบอกว่าท่านช่วยโลกนะ นี่หาวัตถุให้โลกมหาศาลเลย คนเขามองได้แค่นั้นแหละ แต่คนไม่มองหรอกว่าปัจจุบันนี้ธรรมมันจะได้ออก คำว่าธรรมจะได้ออกคือท่านได้เทศนาว่าการ เวลาท่านออกมาช่วยโลก ท่านบอกเลยหาเงินให้โลกเพื่ออะไร?

นี่ขณะที่โลกเกิดภัยทางเศรษฐกิจ ทุกคนหมดหวัง ทุกคนหมดกำลังใจ ไอ้คนที่จะมาปลุกความหวังอันนี้สำคัญมาก ถ้าคนหมดหวัง ทั้งสังคมหมดหวัง ทั้งสังคมทุกข์ มันจะไหลไปตามกับสังคมเลย เห็นไหม ดูเวลาหุ้นมันตก คนตกใจตื่นเทขายเต็มที่เลย แต่เวลาหุ้นมันขึ้นทุกคนอยากได้ผลประโยชน์ แล้วจิตใจของคนมันท้อถอย มันไม่มีที่พึ่ง แล้วท่านคนเดียวท่านมายืนนำธงนะ ตั้งธงนำว่าเราจะช่วย เราจะช่วยกันๆ

ไอ้ตรงนี้มันมีคุณค่ามาก มันมีคุณค่ามาก ท่านบอกเลยนะ การมาช่วยโลก ไอ้วัตถุนี่เขามองตรงนั้น แต่เขาไม่มองหรอกว่าการที่ท่านทำธรรมมันจะได้ออก ธรรมมันจะได้ออกนะ แล้วตอนที่ท่านออกมาช่วยโลก เห็นไหม ทุกคนจะไปถามว่าจะช่วยได้อย่างไร? พระมีบริขาร ๘ ติดหนี้เขาเป็นแสนๆ ล้าน จะเอาเงินที่ไหนไปใช้เขา

ท่านบอกเลย “คนละไม้คนละมือมันช่วยได้” ถ้าคนละไม้คนละมือนะมันช่วยได้ ถ้าคนมันจะสู้มันช่วยได้ ท่านยืนยันมาตลอด ท่านเอาหัวใจท่าน เอาความเป็นธรรมของท่าน ท่านต่อสู้มาจนให้เราเข้มแข็งขึ้นมา แต่พอเราเข้มแข็งขึ้นมาเราก็มองข้าม เห็นไหม

คนเรานี่นะคุ้นเคยกับสิ่งใด จะไม่เห็นคุณค่าของมันเลย คนเราถ้ามันตกทุกข์ได้ยาก คนเจ็บไข้ได้ป่วย จะเห็นเรื่องยามีความจำเป็นมาก คนไม่เจ็บไข้ได้ป่วย จะไม่เห็นเรื่องยานี้มีความจำเป็นอะไรเลย ซื้อยามาก็เก็บไว้ เก็บไว้จนหมดอายุเพราะเราไม่เจ็บไข้ได้ป่วย ถ้าวันไหนเจ็บไข้ได้ป่วยนะยาจะมีคุณค่ามาก คนเราถ้ามันทุกข์มันยากนะ เวลามีคนมาช่วยเหลือมันจะซึ้งใจมาก นี่ถ้าคนไม่ทุกข์ไม่ยากมันจะไม่ซึ้งใจหรอก

นี่ขณะที่ธรรมมันจะได้ออก ธรรมอันนี้สำคัญมาก ธรรมเพราะอะไร? ธรรมเพราะมันเอาชนะเราได้ เอาชนะกิเลสของเราได้ เมื่อวานเวลาฝนมันตก ผู้ว่าเขาต้องเดินเข้าไป นี่คุณหญิง คุณนายต้องเดินเข้าไป ๒-๓ กิโล แล้วไปบ่นกับท่าน เห็นไหม นี่ทุกคนจะไปออดต่อหน้าท่านนะ บอกว่ารถติด เดินเข้ามาตั้ง ๒-๓ กิโล ท่านพูดนะ นี่ใจเป็นธรรม..

ถ้าเป็นเรานะ อู้ฮู.. คุณหญิง คุณนาย ผู้เฒ่า ผู้แก่ อู้ฮู.. ประคองกันมานะ แล้วต้องโอ๋ใช่ไหม? ท่านบอกว่า “ก็ติดกันทุกคนแหละ ก็ติดกันทุกคน จะคนหนุ่ม คนแก่ คนทุกข์ คนยาก ติดทุกคน คือมันติดเหมือนกัน” คือไม่มีใครสูงกว่าใครไง ถ้าพูดอย่างนั้นปั๊บนะ คนที่มันท้อถอย คนที่ใจมันจะมาบอกว่าโอ๋ย.. นี่เดินมาตั้ง ๒-๓ กิโลนะ ไอ้เราเป็นอาจารย์นะก็ อู้ฮู.. น่าสงสารเนาะ (หัวเราะ) ขาอ่อนเลย

เดินตั้ง ๒-๓ กิโลนะ ใครๆ ก็เดินเข้ามา ฝนมันตกเปียกมาก ทอดผ้าป่านะ ฝนมันตกเปียกมากเลย โดยหัวใจของท่านนะท่านสงสารมาก ท่านเมตตาเรามาก แต่ท่านพูดนะฝนมันตกก็สู้มัน มันก็แค่เปียกนั่นแหละ ถ้าพูดอย่างนั้นปั๊บนะสังคมจะไม่ปั่นป่วน ถ้าพอฝนตกนะ อู้ฮู.. ฝนตกเปียกนะ โอ๋ย.. น่าสงสารนะ นี่งานจะไปไม่รอดเลย

พอฝนตกนะท่านบอกสู้ สู้ มันก็แค่เปียก เท่านั้นแหละแค่เปียก นี่เรานั่งฟังอยู่ เห็นไหม นั่งฟังอยู่หมดแหละ นี่ใจของท่านอ่านเกมออกหมด มันเข้าใจถึงความตกใจ ใจของคนถ้ามันตกใจ ใจคนมันท้อถอยนะ มันจะเหยียบย่ำกัน

ม็อบนี่นะ เวลาเขาปลุกม็อบ เห็นไหม นี่สิ่งนี้เพราะอะไร? เพราะมันจิตที่ว่ามวลชน ถ้ามันจิตที่มวลชน พอมันฮึกเหิมขึ้นมานี่เอาไม่อยู่ เอาไม่อยู่หรอก ใจคนนี่นะถ้ามันตก เวลามันตกนะมันไปหมดเลย แต่ถ้ามันฟูนะมันก็ไปหมดเลย มันไม่เป็นกลางหรอก คนมีกิเลสอยู่มันจะเป็นอย่างนั้น แต่คนที่เป็นกลาง เห็นไหม นี่จะมีสิ่งใดมาท่านจะประคองเหตุการณ์ผ่านวิกฤตินั้นไปเป็นช่วงๆ

คนเยอะมากๆ คนเยอะมาก แล้วฝนมันตก ฝนตกจนไม่มีที่จอดรถ แล้วมันก็เวรกรรม ไปขุดสระเอาดินมาถมข้างทางหมดเลย รถลงไปก็ติดหมดเลย ไปไหนกันไม่รอดเลยติดตายหมด แล้วคนโอ้โฮ.. เดินกันอย่างกับมด นี่ไง แต่ถ้าหัวหน้าไม่เป็นธรรมนะ เหตุการณ์มันจะเกิดการหวั่นไหว เหตุการณ์มันจะเหยียบย่ำกันนะ

นี่หัวหน้าเป็นธรรม เรานั่งดูอยู่นะโอ้โฮ.. หัวหน้าเป็นธรรมมาก แต่ตอนอยู่ที่วัดมองไม่ออกเพราะเราไม่เห็นภาพหมด กลับมาดูทีวี เขาเอาเทปมาออกไง แล้วท่านนั่งดูอยู่ ท่านมาเทศน์รอบสองเพราะอะไรรู้ไหม? เพราะรถเรากลับมาแล้ว พอกลับมานี่มาถึงมันถ่ายทอดสด เอ๊ะ.. ทำไมมันมีเหตุการณ์อะไร? มาดูแล้วรถออกไม่ได้ คนไปไหนกันไม่ได้ ท่านก็มานั่งเป็นประธานอีก มานั่งปลอบใจ พอท่านมานั่งปั๊บทุกอย่างมันสงบหมด ทุกดวงใจจะไปอยู่ที่ท่านหมดเลย

นี่ไงคนเข้าใจ นี่หัวหน้า หลวงตาท่านพูดบ่อยนะ ตอนมาช่วยโลกหัวหน้าสำคัญมาก ถ้าหัวหน้าที่ดีนี่โคนำฝูงจะนำฝูงโคนั้นไปในสิ่งที่ดี ถ้าหัวหน้าไม่ดีหรือหัวหน้าตื่นตกใจเอง หัวหน้าตื่นตกใจเอง มันจะพาฝูงโคนั้นไปไหน? หัวหน้าไม่ตื่นตกใจ หัวหน้าคุมเกมตลอด แล้วพาเหตุการณ์จบไปแล้ว

นี่ใจเป็นธรรม ถ้าใจเป็นธรรมนะมองถึงศักยภาพ มองถึงทางโลก นี่ไงบารมีธรรม ถ้าบารมีธรรม เห็นไหม เวลาออกมานี่เรามาบวชกัน ทุกคนมาบวชจะคิดนะว่าเราอยู่บ้านอยู่เรือนใครจะดูแลเวลาเจ็บไข้ได้ป่วย บวชเป็นพระใครจะดูใครจะแล ถ้าบวชเป็นพระนะ ถ้าเป็นพระที่ดี นี่หลวงตาท่านบอก พวกครูบาอาจารย์เราเจ็บป่วยไม่บอกใครนะ บอกใครไม่ได้หรอก ถ้าบอกใครนะมันไปรับแขก ไปรับไอ้ยานั่นน่ะ มันยิ่งทุกข์กว่าเจ็บป่วยอีก ทนเอาดีกว่า มันป่วยแล้วก็หาย

คือคนห่วงอาลัยอาวรณ์หมดไง คนห่วง คนถวิลหาเพราะอะไร? เพราะมันเป็นที่พึ่งของใจนะ ใจพวกเราไม่มีที่พึ่ง ดูสิพ่อแม่เราอยู่ในบ้าน เราจะอุ่นใจนะว่าอย่างไรเราก็มีพ่อมีแม่ เวลาพ่อแม่เราเสียไปแล้วเราจะคิดอย่างไร? เราต้องเป็นผู้ใหญ่เองนะ ต่อไปนี้ทุกข์ยากจะไปปรึกษาใคร? ทุกข์ยากเราจะไปหาใคร?

นี่ก็เหมือนกัน เรามีที่พึ่งนะ ถ้าใจเรามีครูบาอาจารย์เป็นที่พึ่ง อย่างไรเราก็มีที่พึ่งของเรา แต่ถ้าใจมันไม่มีที่พึ่ง เห็นไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนว่า

“ให้มีธรรมเป็นที่พึ่งเถิด”

ให้เรามีธรรมเป็นที่พึ่ง ถ้าใจของเราเอากิเลสของเราไว้ เอาความคิดที่มันคิดเหยียบย่ำตัวเอง เวลามันคิดมันไม่จริงหรอก มันไม่จริงอย่างที่คิดหรอก ที่คิดนี่มันคิดด้วยความวิตกกังวล คิดด้วยอะไร? ความเป็นจริงไง เรานี่ทายอนาคตไปร้อยปีพันปีเลย พรุ่งนี้อะไรจะเกิดยังไม่รู้นะ พรุ่งนี้อะไรมันจะเกิด คืนนี้นอนพรุ่งนี้จะได้ตื่นไหม? ถ้าคืนนี้นอนพรุ่งนี้ไม่ได้ตื่น ที่เราคิดกันไว้มันจะจบเลยนะ เห็นไหม

ปัจจุบันธรรม ถ้าปัจจุบันธรรมเอาชนะตรงนี้ เราทำบุญกุศล เห็นไหม เห็นครูบาอาจารย์นี่เราทำบุญกุศล บุญกุศลนะทำเพื่อใคร ทำให้จิตใจนี้เข้มแข็ง ถ้าจิตใจเข้มแข็ง นี่คนถ้ามีหลัก อย่างพวกเราทำบุญกันแล้วจิตใจเราสดชื่น จิตใจเรามีทางออก จิตใจเรามีความคิด เราดูสารคดีนะอย่างทิเบต เราไปอยู่ทิเบตเขากินอะไรกัน เขาอยู่กันได้อย่างไร? แต่เพราะศาสนา เขามีหลักใจของเขาเลยนะ เกิดมาแล้วต้องตาย นี่อยู่กันเพื่อพลัดพราก

เขาคิดของเขาอย่างนี้นะอยู่กันเพื่อพลัดพราก ดูภูมิประเทศของเขาสิ นี่เขาอยู่ในที่สูงมาก พืชอะไรก็ปลูกไม่ได้ ปลูกได้แต่ข้าวสาลีกับนมแพะ นมวัวป่า เขาอยู่กันแค่นั้น ชีวิตของเขาอยู่กันแค่นั้น แล้วเขาอยู่ของเขาได้ แล้วดำรงเผ่าพันธุ์มาขนาดไหน? เพราะอะไรรู้ไหม? เพราะเขาเอาหัวใจของเขาอยู่ได้ ถ้าพวกเราเข้าไปนะจะบอกเลยนี่ขาดผักสด ขาดอาหารที่มีคุณสมบัติทางร่างกาย ทำไมเขาอยู่ด้วยเนยกับขนมปังเท่านั้น แล้วเขาอยู่กันมาตลอด เขาอยู่กันมาอย่างนั้นตลอด แล้วเขามีชีวิตของเขาอะไรนะ นี่เวลาหน้าร้อนกี่เดือน เวลาหิมะตกกี่เดือน เขาดำรงชีวิตเขารอดต่อปี ต่อปี ต่อปีมาของเขา แล้วเขาพอใจอยู่ของเขา เห็นไหม

นี่คิดอย่างนี้แล้วคิดถึงในหลวงเลย นี่เศรษฐกิจพอเพียง ใครอยู่ในชุมชนอย่างใด? ดำรงชีวิตของเขาอย่างใด? ถ้าจิตใจเป็นสุข จิตใจเอาความคิดของเราไว้ในหัวใจได้ เราจะไม่เดือดร้อนกับใครเลย ตอนนี้เราทุกข์ยากกันเพราะทุนนิยม นี่คุณภาพชีวิต เราจะต้องมีตู้เย็น ต้องมีแอร์ ต้องมีทุกอย่างเลย เงินเดือนเราเท่าไหร่? เราจะหากินอย่างไร?

นี่ไง เพราะเราไปตื่นกับสื่อ เห็นไหม สื่อเขาบอกคุณภาพชีวิต คุณภาพชีวิตของใคร? เราเป็นชาวไทยนะ เราเป็นทางเอเชีย บ้านนอกคอกนาเราก็อยู่ได้ เพราะอะไร? เพราะเราไม่ต้องติดแอร์ เห็นไหม เราอยู่กระท่อมห้อมหอนะ เราอยู่กินของเราได้ แต่ถ้าเราไปติดแอร์นะ เราจะหาเงินมาจ่ายค่าหนี้เขาเท่าไหร่?

นี่เพราะอะไร? เพราะเราเอาใจของเราไว้ในอำนาจของเราไม่ได้ เราเอาใจของเราไว้อยู่กับตัวเราไม่ได้ เห็นไหม เราแพ้ตัวเอง พอเราแพ้ใจตัวเอง เราแพ้กิเลสเราเอง แล้วเราก็ทุกข์ยาก ทุกข์ยากเพราะกิเลสมันขับไส ทุกข์ยากเพราะกิเลสมันดึงเราไป แล้วเราต้องหาสิ่งต่างๆ มาปรนเปรอมัน

ดูสิไปดูทางทิเบตไปอยู่บนภูเขา เขาอยู่กันอย่างไร? ไม่ใช่ว่าเราจะเอาแบบเขานะ ไม่ใช่ว่าอยู่อย่างนั้นเขาจะเป็นความสุขของเขา ความสุขเพราะเขาคุมใจเขาได้ ความสุขถ้าเขารักษาใจเขาได้ เศรษฐกิจพอเพียงในภูมิประเทศ ในถิ่นเกิด ในสิ่งที่เราเกิดในชุมชนนั้นเราจะดำรงชีวิตอย่างไร? ถ้าเราดำรงชีวิตของเราได้ เห็นไหม นี่ครูบาอาจารย์ท่านเข้าใจอย่างนี้แล้วนะ ถ้าเข้าใจของเรา เข้าใจในโลกทัศน์ของเรามันเข้าใจโลกภายนอกหมดเลย

ถ้าโลกภายนอกเข้าใจได้ เห็นไหม นี่ปัจจัยเครื่องอาศัยองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกไว้แล้ว ปัจจัย ๔ ขาดไม่ได้ มนุษย์ขาดไม่ได้ นี่ปัจจัย ๔ เราหามาเพื่อเรา แต่ถ้าเป็นธุรกิจ เป็นเรื่องโลกนะเราต้องดำรงชีวิตอย่างนั้น เราเกิดในโลกมันก็เป็นโลก เรื่องโลกกับเรื่องธรรมไง

เวลาเรื่องโลกนะ เห็นไหม หลวงตาท่านสอนประจำ คนเกิดมามีสองตา ตาหนึ่งคือตาโลก เราต้องมีพื้นที่ในสังคม เราต้องมีอาชีพ เราต้องทำมาหากินของเรา นี้คือตาหนึ่ง อีกตาหนึ่งคือตาธรรม ตาธรรมคือตาชีวิตเราไง ชีวิตเรานี่เราจะหาอะไร? เราจะมีความสุขอย่างไร? เราจะพอใจกับชีวิตเราแค่ไหน? ถ้าเราพอใจกับชีวิตเราแค่ไหนนะ ชีวิตเรามันจะอยู่ได้

ตาหนึ่งคือตาโลก ตาหนึ่งคือตาธรรม เรามีตา ๒ ตา มีแขน ๒ แขน มีขา ๒ ขา มีหัว ๑ หัว เห็นไหม ถ้าเราทำถึงสิ้นสุดแห่งทุกข์ได้ เอโก ธัมโม หนึ่งเดียวไง ถ้าทำถึงสิ้นสุดแห่งทุกข์ได้นะ นี่มองคติธรรม มองถึงครูบาอาจารย์ของเรา มองถึงการกระทำนะ ถ้าเรามองในทางโลกนะเอาคำนวณกัน

หลวงตาหาเงินให้ประเทศเป็นหมื่นๆ ล้าน ช่วยโลกเป็นกี่หมื่นล้าน โอ้โฮ.. มีศักยภาพมาก ท่านบอกนั่นมันแค่วัตถุ แต่ถ้าเราดูในหัวใจเราไม่ตื่นกับตรงนั้นนะ ตรงนั้นมันเป็นศักยภาพของครูบาอาจารย์ของเรา ท่านสร้างบารมีของท่านมา เป็นบารมีของท่าน ใครเลียนแบบไม่ได้ มันเป็นสิทธิ มันเป็นบารมีของแต่ละบุคคล ใครไปเลียนแบบนะ เห็นช้างขี้จะขี้ตามช้าง มึงทุกข์ตายห่าเลย

นี่บารมีของท่านเราดูไว้เป็นคติไง ดูไว้เป็นตัวอย่าง ดูว่านี่ท่านสร้างของท่านมา ท่านทำตั้งแต่บารมีจากภายนอกของท่านมา แล้วท่านสร้างบารมีจากภายใน เห็นไหม ท่านลืมทั้ง ๒ ตา ตาหนึ่งคือตาโลก คือช่วยเหลือโลกแบบโลก ตาหนึ่งคือตาธรรมของท่าน ท่านก็เปิดตาของท่านได้

แต่ถ้าเราไปมองแต่ท่านนะ เราไปมองแต่โลก เราจะทำอย่างนั้นนะแล้วตาหนึ่งบอด ตาที่บอดนะเราทุกข์มากเลย เราจะวิตกกังวล เราจะแบกรับภาระ เราจะเครียดไปหมดเลยนะ แต่ถ้าเป็นธรรม เห็นไหม ตาหนึ่งคือตาโลก เราแบกได้ ท่านมีบารมีท่านก็แบกของท่านได้

ตาหนึ่งคือตาธรรม เห็นไหม เหตุวิกฤติขนาดไหนท่านบอกว่าเรื่องธรรมดา ก็แค่เปียกเท่านั้นแหละ รถติดมันก็ติดกันทุกคน ติดเหมือนกัน คือถ้าคนไม่ตื่น คนไม่เห็นแก่ตัวนะ ช่วยกัน เจือจานกัน สังคมจะมีความร่มเย็นเป็นสุขนะ จากข้างนอก จากข้างใน นี่ดูท่านทำ ดูแล้วคิด ดูแล้วเห็นประโยชน์มาก

บุคคลคนหนึ่งเกิดมาเพื่อประโยชน์นะ ของเราเราเกิดมาแล้วเหมือนกัน เราก็เป็นคนๆ หนึ่ง รักษาใจเรา ทำเพื่อเรานะ ทำประโยชน์เพื่อเรา มองจากข้างในแล้วมองกลับมาที่เรา เอามาเป็นตัวอย่าง มองแล้วอย่าทิ้งเปล่า เห็นไหม เราไปเที่ยวมากกว่านั้น ไปดูเยอะแยะไปหมดเลย แล้วจะคุยทีหลัง เอวัง